วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2551

29 สุดยอดอาหาร คงความอ่อนเยาว์


1. บลูเบอร์รี่ : จากผลการวิจัยพบว่า แอนโทไซยานิน (anthocyanin) สารเม็ดสีในบลูเบอร์รี่ ช่วยในการมองเห็น ขอแนะนำให้คุณลอง ปั่นบลูเบอร์รี่รวมกับนมหรือโยเกิร์ตดู
2. พริกหยวก : ทั้งพริกแดง พริกเขียว และพริกเหลือง ต่างมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย น้ำฉ่ำๆ จากพริกหยวกยังจะช่วยให้สุขภาพเล็บแข็งแรง ลองนำพริกไปทำซัลซ่า โดยผสมเข้ากับมะเขือเทศ กระเทียม พริกแดง แตงกว่า น้ำมันมะกอก และน้ำมะนาวดูสิ นอกจากจะได้ประโยชน์มหาศาลจากเหล่าสุดยอดอาหารแล้ว ยังได้อร่อยกับเมนูเด็ดจากฝีมือของคุณเองอีก
3. กะหล่ำปลี : เห็นเขียวๆ ม่วงๆ อย่างนี้รู้มั้ยว่ากะหล่ำปลีนั้นอุดมไปด้วยวิตามินเอ, ซีและเบตาแคโรทีนที่จะช่วยในเรื่องของผิวพรรณ เพียงหั่นกะหล่ำปลีบางๆ แล้วนำลงไปผัดกับขิงและกระเทียม เพียงเท่านี้ก็ได้อาหารมื้อค่ำสำหรับตัวคุณเองแล้ว
4. วอลนัท : ทองแดงในวอลนัทช่วยคงสภาพสีผมของคุณไม่ให้เปลี่ยนสีก่อนวัยอันควร ลองโรยวอลนัทลงบนสลัดหรือโยเกิร์ตก็ไม่เลวนะ
5. แอปริคอท : สารเบตาแคโรทีนในแอปริคอทช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตา ช่วยในการมองเห็นได้ดี ใส่แอปริคอทลงไปในสตูว์ไก่ ผสมกับขิงและอบเชยให้ได้กลิ่นอายแบบโมร็อคโค
6. อะโวคาโด : การรับประทานอะโวคาโดช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน และปกป้องผิวจากอันตรายที่เกิดจากแสงแดด เนื่องจากอะโวคาโดอุดมไปด้วยวิตามินอี บดอะโวคาโดโรยหน้าโอ๊ตเค้กเป็นของทานเล่นดูก็ได้
7. สตรอเบอร์รี่ : วิตามินซีและ สารบางอย่างในสตรอเบอร์รี่ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของผนังเส้นเลือดผลไม้สีแดง สดทรงเสน่ห์แบบนี้ เพียงแช่เย็นไว้จิ้มกินกับเกลือตอนนั่งดูทีวีก็เพลินดีไม่น้อย
8. เต้าหู้ : หยุดยั้งผิวที่ซีดและแห้งโดยการรับประทานอาหารอย่าง เต้าหู้ เพราะในเต้าหู้มีสารที่จะช่วยคืนสภาพผิวและป้องกันรอยเหี่ยวย่น ลองผัดรวมกับผักกรอบๆ หรือทำเป็นต้มจืดเอาไว้ทานเป็นมื้อเย็นนอกจากจะช่วยคืนสภาพผิวแล้ว ยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี
9. ข้าวโอ๊ต : เต็มไปด้วยเส้นใยที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ทั้งยังช่วยลดอาการตึงเครียด จึงทำให้รอยเหี่ยวย่นน้อยลง เพียง โรยข้าวโอ๊ตลงบนมูสลี่ หรือนมอุ่นๆ ใส่น้ำตาลลงไปเล็กน้อยแค่นี้ก็ทานได้แล้ว กระชุ่มกระชวยเหมือนแรก
10. กระเทียม : สมุนไพรกลิ่นแรงอย่างกระเทียมมีคุณสมบัติป้องกันแบคทีเรีย ล้างพิษ และป้องกันไวรัสจากโรคภัยไข้เจ็บ ตั้งแต่ไข้หวัดไปจนถึงมะเร็ง อาหารไทยส่วนใหญ่มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบอยู่แล้ว
11. แครนเบอร์รี่ : ผลไม้มหัศจรรย์ช่วยต้านการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ จากงานวิจัยล่าสุดพบว่ายังช่วยป้องกันโรคเหงือก และแผลในช่องท้องได้ชะงัดอีกด้วย อาจจะทำเป็นแยมไว้รับประทานกับขนมปัง หรือทำเป็นซอสแครนเบอร์รี่ไว้ทาไก่หรือ เนื้อย่างก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน
12.ลินสีด : ช่วยลดอาการเจ็บตามข้อต่อ เพราะอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ที่ร่างกายใช้ในการสร้างฮอร์โมนที่มีคุณสมบัติป้องกันอาการอักเสบ ลองเติมลงในน้ำปั่นหรือโรยหน้าสลัดดูก็ได้นะ
13. กีวี : วิตามินซีและสารอาหารบางอย่างในกีวีช่วยในการไหลเวียนของออกซิเจน ลดปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ เช่น โรคหืด หอบ หั่นกีวีเป็นลูกเต๋าเสียบไม้กับมะม่วงหรือกล้วย ทาด้วยน้ำผึ้ง แล้วนำไปย่าง อาจจะได้รสชาติแปลกใหม่ที่น่าลิ้มลอง
14. ลูกพลัม : อุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยป้องกันการถูกทำลายของไขมัน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในเซลล์สมอง นำลูกพลัมไปเคี่ยวกับน้ำส้ม และโรยลงไปบนมูสลี่ หรือจะกินเล่น เป็นขนมขบเคี้ยวก็ไม่มีใครว่า
15. กล้วย : เป็นแหล่งรวมของโพแทสเซียม นอกจากกล้วยจะช่วยในเรื่องของระบบการย่อยอาหารแล้ว ยังช่วยลดอาการท้องผูก แค่ผสมเข้ากับนม น้ำผึ้ง และอัลมอนด์ ก็จะได้อาหารเช้าที่แสนอร่อย
16. ส้ม : การรับประทานส้มทั้งผล แทนการดื่มน้ำส้มจะช่วยให้ได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ มิหนำซ้ำวิตามินซีในส้มยังช่วยป้องกันและเยียวยาโรคหวัด นอกจากนี้กากของส้มยังช่วยในเรื่องของการขับถ่ายด้วย
17. ข้าวกล้อง : ฮอตฮิต อินเทรนด์กันอยู่พักใหญ่ เพราะอุดมไปด้วยแร่แมงกานีส ที่จะช่วยให้พลังงานกับร่างกายโดยการให้โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต และยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย ใครที่ไม่ชอบสีจัดจ้านของข้าวกล้องก็สามารถหุงข้าวกล้องรวมกับข้าวสวยได้
18. มะเขือม่วง : เปลือกของมะเขือม่วงอุดมไปด้วยนาซูนิน (nasunin) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยปกป้องสมองของคุณจากการถูกทำลาย เพื่อคงความฉลาดหลักแหลมของคุณไว้ ลองนำมะเขือม่วงไปทำแกง หรือรับประทานกับข้าวกล้องก็อร่อยไม่เบา
19. ลูกพรุน : โพแทสเซียมในลูกพรุน ช่วยลดคอเรสเตอรอลในเลือดและลดระดับความดันเลือด ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคหัวใจ เสิร์ฟคู่กับโยเกิร์ตหรือกินเล่นเป็นของว่างก็ดี
20. คะน้า : ช่วยให้ตับของคุณผลิตเอ็นไซม์ในการต่อต้านมะเร็ง เมื่อคุณเคี้ยวคะน้า จากการวิจัยพบว่า สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมได้ ฮืม...ม เลือกผัดคะน้าปลาเค็ม เป็นเมนูมื้อกลางวันดีกว่า (อ้อ อย่าลืมทุบกระเทียมลงไปด้วยนะ)
21. ผักโขม : คุณจะได้รับแคลเซียมจากผักโขม ในขณะเดียวกัน ก็มีแมกนีเซียมที่จะช่วยให้ร่างกายของคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดี การรับประทานใบอ่อนของผักโขมในสลัด จะช่วยให้ป้องกันโรคกระดูกเปราะและหักง่ายเนื่องจากขาดแคลเซียม
22. ราสเบอร์รี่ : จากผลการวิจัยพบว่า สารแอนตี้ออกซิเดนท์ในราสเบอร์รี่สามารถยับยั้งการเกิด เนื้อร้ายได้ ลองนำราสเบอร์รี่ไปราดด้วยช็อกโกแลตเหลวแล้วไปแช่เย็นดูสิ
23. ถั่วงอก : สารประกอบ ที่พบในถั่วงอก สามารถช่วยลดระดับไขมันในเส้นเลือด นอกจากนี้ถั่วงอกยังประกอบด้วยสารอาหารในปริมาณสูง ซึ่งจะช่วยเรื่องโรคเล็กๆ น้อยๆ ของสตรีในวัยหมดประจำเดือนถั่วงอกผัดกับเต้าหู้ ทานกับข้าวสวยร้อนๆ ก็อร่อยไม่เบา
24. บล็อคโคลี่ : การรับประทานบล็อคโคลี่เป็นประจำ จะช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจได้ถึง ๒๐% และยังมีวิตามินซีที่ช่วยป้องกันการปวดกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อ และโรคไขข้ออักเสบได้ด้วย ลวกใส่ในสลัด หรือผัดกับกุ้งสดก็ไม่เลว
25. บีทรูท : เนื้อของบีทรูทอุดมไปด้วยเบต้าไซยานิน ซึ่งเป็นสารต่อต้านมะเร็งรับประทานโดยการนำไปตุ๋นหรือย่าง
26. องุ่นแดง : จะช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดเลือดจับตัวเป็นก้อน และดักจับไขมันในเลือดที่จะเป็นอันตรายต่อเส้นเลือดแดงของคุณ ใส่องุ่นแดงลงในสลัดหรือดื่มไวน์แดงสักแก้วระหว่างมื้อค่ำ
27. ปลาที่มีไขมัน : แซลมอน หรือเนื้อปลาชนิดอื่นๆ ที่มีไขมันปนอยู่บ้างนั้น สามารถช่วยปกป้องคุณจากโรคภัยไข้เจ็บมากมาย อีกทั้งโปรตีนในเนื้อปลายังช่วยในเรื่องของสมอง ว่ากันว่าให้เด็กๆ กินปลาแล้วจะฉลาด ปลานึ่ง ปลาย่างราดซอสอร่อยๆ ล้วนเป็นทางเลือกที่ดี
28. มะเขือเทศ : สารไลโคพีนี (lycopene) ในมะเขือเทศจะช่วยป้องกันการเกิด มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่สำคัญช่วยให้ผิวสวยอย่าบอกใครเลยเชียวล่ะเลือกเอาเลยว่าคุณอยากจะใส่ มะเขือเทศลงในอาหารอะไรบ้าง
29. หัวหอม : หัวหอมที่มีกลิ่นไม่หอมเหมือนชื่อนี้ จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดทั้งยังช่วย ในการรักษาและป้องกันโรคเบาหวาน ซอยเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ ใส่ในไข่เจียว หรือซอยใส่อาหารประเภทยำช่วยเพิ่มรสชาติได้ดีทีเดียว เพียงแค่เลือกรับประทานอาหารที่ว่ามาทั้งหมดนี้ เพียงอย่างน้อย 1 อย่าง เป็นประจำทุกวัน ก็จะช่วยให้เส้นผมดำขลับ เงางาม ผิวพรรณผุดผ่องและดวงตาเป็นประกาย

โรคเท้าเหม็น คุณเป็นหรือเปล่า



โรคเท้าเหม็น (Pitted Keratolysis)
เป็นโรคที่พบมากในเขตร้อน พบได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ผู้ชายและผู้หญิง แต่จะพบได้บ่อยในผู้ชาย เพราะจะมีเหงื่อออกที่ฝ่าเท้ามากกว่า และผู้ชายมักสวมถุงเท้าอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้เกิดการหมักหมมบริเวณเท้า
คนเป็นโรคเท้าเหม็น หากสังเกตก็จะเห็นหลุมเล็กๆ ที่ฝ่าเท้า บางครั้งหลุมอาจรวมตัวกันเป็นแอ่งเว้าตื้นๆ มักพบตามฝ่าเท้าที่รับน้ำหนัก และที่ง่ามนิ้วเท้า
อาการที่แสดงออกมาของโรคเท้าเหม็นคือ ร้อยละ 90 เท้ามีกลิ่นเหม็นมาก ร้อยละ 70 คือ เวลาถอดถุงเท้าจะรู้สึกว่าถุงเท้าติดกับฝ่าเท้า ส่วนอาการคันนั้นพบได้น้อยเพียง ร้อยละ 8 เท่านั้น
วิธีการรักษาโรคเท้าเหม็น
1. พยายามทำให้เท้าแห้งอยู่เสมอ โดยอาจใช้แป้งฝุ่นฆ่าเชื้อโรยที่เท้า หรือยารักษาสิว (Benzoyl Peroxide) ก็นำมาใช้ได้เช่นกัน นอกจากนั้นก็อาจใช้ยาปฏิชีวนะ หรือยาฆ่าเชื้อราชนิดทาก็ได้
2. โบทอกซ์ที่ใช้แพร่หลายกันในเรื่องการลดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ก็สามารถนำมาใช้รักษาโรคเท้าเหม็นได้ด้วย โดยการฉีดโบทอกซ์เข้าไปที่ฝ่าเท้าเพื่อลดเหงื่อที่ออกมากๆ ประมาณ 6-12 เดือน ก็จะเห็นผล (วิธีการนี้มีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก 10,000-20,000 ต่อครั้ง)
3. การใช้ไอออนโตเพื่อลดเหงื่อ ซึ่งเป็นวิธีการที่ปฏิบัติกันมากว่าเจ็ดสิบปีแล้ว โดยทำบริเวณที่มีเหงื่อให้เหงื่อออกมาครั้งละ 20-30 นาที สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จนเหงื่อที่ออกลดลงเป็นปกติ วิธีนี้ไม่เจ็บ ไม่แพง แต่ก็ไม่นิยมในบ้านเรา
4. แช่เท้าในน้ำล้างเท้าผสมสูตรระงับกลิ่นทุกวัน โดยใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที
สูตรผสมน้ำระงับกลิ่นเท้า
- น้ำอุ่นผสมน้ำส้มสายชูกับด่างทับทิม
- น้ำอุ่นผสมส้มฝานบางๆ อาจใช้มะนาวแทนก็ได้
- น้ำอุ่นผสมกระเทียมทุบ 2-3 กลีบ
- น้ำอุ่นผสมน้ำมะขามเปียก
- น้ำชาจีนอุ่นๆ ต้มแก่ๆ (สูตรนี้จะไม่ถูกกรดอ่อนๆ กัดเท้าเหมือนสูตรอื่น)
7 เคล็ดลับรักษาเท้าให้น่าคลั่งไคล้
1. จงเข้าใจว่าศัตรูของเท้าไม่ใช่ความแห้ง แต่เป็นกลิ่น ดังนั้นไม่ควรหมักหมมเท้าไว้ในรองเท้าให้นานเกินไป ควรหาเวลาถอดเพื่อระบายเหงื่อ หรือใช้สเปรย์แป้งเพิ่มความสดชื่นให้แก่เท้าอยู่เสมอ
2. เวลาล้างเท้าควรล้างอย่างพิถีพิถันโดยเฉพาะบริเวณแต่ละง่ามนิ้วเท้า ควรใช้สบู่เด็กหรือผลิตภัณฑ์รักษาความสะอาดโดยเฉพาะ เพราะบริเวณนั้นเป็นแหล่งรวมของเชื้อราเลยทีเดียว จากนั้นก็ล้างด้วยน้ำสะอาดให้หมดจด
3. ควรประณีตกับการล้างเท้าสักหน่อย โดยการใช้ "หินลอย" (Pumice Stone) มาขัดหนังที่แข็งกระด้างออก และไม่ลืมที่จะใช้เวลาในการเช็ดเท้าให้แห้งสนิทมากที่สุดด้วย
4. แล้วเมื่อเท้ามีอาการปวดเมื่อยจากการเดิน หรือวิ่งก็ตาม ง่ายๆ เลยเพื่อระงับความปวดเมื่อยคือ การนำเท้าไปแช่น้ำอุ่น (ผสมเกลือ) สัก 10-15 นาที แล้วยกออก ตามด้วยการจุ่มน้ำเย็นสัก 1-2 นาที ก็จะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และยังทำให้ผิวเท้านุ่มขึ้นอีกด้วย
5. เมื่อมีเวลาว่างเมื่อใด ก็ควรนำเท้าไปนวดครีมหรือนวดน้ำมัน เพื่อรักษาผิวให้มีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ
6. ไม่ควรใส่รองเท้าที่คับจนเกินไปเพราะนอกจากจะสร้างความเจ็บปวดแล้ว ยังทำให้เกิดแผลและตาปลาอีกด้วย
7. ไม่ควรทำเล็บที่ร้านเสริมสวย หรือใช้เครื่องมือของทางร้าน เพื่อป้องกันความสกปรกหรือโรคผิวหนังที่จะติดมากับเครื่องมือเหล่านั้น (ทำด้วยตัวเองดีที่สุด)

วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551

ประวัติส่วนตัว

ประวัติ
ชื่อ นางสาว อนุสรา กลั่นคุ้ม

ข้อมูลส่วนตัว
อายุ/ปีเกิด 21ปี/06 สิงหาคม 2530
น้ำหนัก/ส่วนสูง 47 กก. / 163 ซม.
ศาสนา พุทธ
สัญชาติ / เชื้อชาติ ไทย /ไทย
สุขภาพ แข็งแรงดีมาก สมบูรณ์ดี

การศึกษา
อนุบาล - มัธยมต้น โรงเรียนนันทนวรวิทย์
มัธยมปลาย โรงเรียนรัตนาธิเบศร์
ปริญญาตรี กำลังศึกษาอยู่ที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ชั้นปีที่ 3คณะวิทยาการจัดการ
หลักสูตรบริหารธุรกิจ แขนงคอมพิวเตอร์ธุรกิจ

ทักษะพิเศษ สามารถใช้คอมพิวเตอร์ (โปรแกรม Microsoft Word)

งานอดิเรก อ่านหนังสือ, เลี้ยงสัตว์, ฟังวิทยุ

สิ่งที่ได้จากการเรียนวิชาเตรียมฝึกประสบการณ์วิชาชีพ


ทุกๆวันพุธนั้น เป็นวันที่ต้องไปเรียนที่คณะวิทยาศาสตร์ ศูนย์สิรินทรนักศึกษาทุกคนจะต้องแต่งตัวเรียบร้อยมากคือผู้หญิงนั้นต้องใส่กระโปรงยาว รองเท้าคัทชูที่ถูกระเบียบส่วนผู้ชายนั้นก็ต้องใส่เนคไท รองเท้าคัทชูเหมือนกันฉันมีความรู้สึกว่าวันที่ได้เรียนวิชานี้ทุกคนดูแต่งตัวเรียบร้อยดีดูเป็นระเบียบวินัยกันมากขึ้น และมีความตรงต่อเวลากันด้วยวิชานี้ก็ได้สอนเรื่องการพัฒนาบุคลิกภาพด้วย ทำให้เราได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนฉันคิดว่าวิชานี้มีประโยชน์ต่อทุกคนมากที่สุดเพราะทำให้ทุกคนเป็นคนที่มีระเบียบวินัยมากขึ้น

สิ่งที่สนใจเฉพาะตัว..........กั๊ฟ

Honda Jazz จ๋วยยยยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


Honda Jazz ใหม่ - รถเล็กๆ ที่ดูน่ารักและจะจำหน่ายในเมืองไทยภายในต้นปี 2008 นี้ (อดใจรอกันอีกนิด) หรือ Honda Fit ที่วางจำหน่ายที่ญี่ปุ่นไปแล้ว พร้อมยอดจำหน่ายที่ขายดีไม่แพ้รุ่นที่แล้ว ซึ่งในเมืองไทยก็ขายดีอยู่เช่นกัน ตัวใหม่นี้หลายคนบอกดูคล้าย Benz A class โดนเฉพาะไฟท้าย จะสวยงามแค่ไหน คงอยู่ที่คนมองแล้วหละราคาเริ่มต้นที่ 550,000-695,000 บาท
Tag (ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง): HONDA JAZZ 2008 ฮอนด้า แจ๊ส ใหม่