วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2551

UnSeEN iN BaNGbUatHOng

วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ฯ


วัดจีนแห่งใหม่ที่สร้างไว้ใหญ่โตสวยงาม จนใครที่เห็นภาพแล้วเป็นต้องตั้งใจจะไปชมให้ได้สักครั้ง ยิ่งกว่านั้น วัดนี้ถูกสร้างด้วยการร่วมแรงร่วมใจกันของคณะสงฆ์และคนไทยเชื้อสายจีนที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารจนได้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข เพื่อที่จะน้อมฯ ถวายเป็นพระราชกุศลในวโรกาสการครองราชย์ครบ 50 ปีของพระผู้ทรงอยู่ในดวงใจของคนไทยทุกคน

วัดนี้มีชื่อเต็ม ๆ ที่ได้รับพระราชทานมาว่า วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ คณะสงฆ์จีนนิกายรังสรรค์ ตั้งอยู่ที่บางบัวทอง เดิมที่นี่เป็นโรงเจเก่าที่ได้รับการขยายพื้นที่ให้กว้างขวาง และสร้างวัดใหม่ขึ้นมาอย่างวิจิตรสวยงามด้วยศิลปะแบบจีน เพื่อร่วมเฉลิมฉลองและถวายเป็นพระราชกุศลในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครองราชย์ครบ 50 ปี
สวยงามยังไงลองค่อย ๆ ตามมาเดินชมกัน

ตรงนี้เป็นซุ้มประตูทางเข้าวัด

เดินเข้ามาด้านใน อาคารหลังแรกที่เห็นจะเป็น "วิหารจตุโลกบาล"

สังเกตด้านบนจะมีตราสัญลักษณ์ฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ประดับอยู่


ป้ายชื่อวัด ที่ได้รับพระราชทานนามจากในหลวง

หน้าทางเข้าจะมีแผ่นหินสลัก

อีกมุมหนึ่ง

เดินเข้ามาจะพบรูป พระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์ ซึ่งก็คือพระพุทธเจ้าองค์ถัดไปที่จะมาอุบัติในโลก
ตามคติจีนจะสร้างรูปพระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์เป็นพระอ้วนพุงพลุ้ยอย่างนี้
เพราะมีที่มาว่าครั้งหนึ่งราว พ.ศ.1460 ที่เมืองจีนมีพระภิกษุรูปหนึ่ง เป็นพระใจดีมีอาการเบิกบานเป็นสุขอยู่เสมอ ไปไหนมาไหนท่านจะมีย่ามใบใหญ่ติดตัวไปด้วย จนชาวบ้านเรียกว่า "หลวงพ่อถุงย่ามใหญ่" ก่อนท่านจะมรณภาพได้เขียนโศลกไว้บทหนึ่ง ความว่า
พระเมตไตรย คือ พระเมตไตรย แบ่งกายเป็นพันหมื่นโกฏิ ให้คนเห็นทุกเวลา แต่คนก็ไม่รู้จัก
คนทั้งหลายก็เลยเชื่อว่าท่านคือพระเมตไตรยมาโปรด แล้วก็ทำรูปตามลักษณะท่านขึ้นมาอย่างที่เราเห็นกัน

ลวดลายที่หน้าแท่นบูชา


ตามทางเข้าวัดจีนอย่างนี้มักจะมีรูปเทพที่เป็นผู้ปกปักรักษาโลกทั้ง 4 ทิศ หรือ ที่เรียกว่า "จตุโลกบาล"


ส่วนผนังด้านข้างจะเป็นรูปเทพเจ้ารวม 8 องค์ ฝั่งละ 4 องค์



ถ้าเป็นฝั่งซ้ายมือ เริ่มต้นจากองค์ทางซ้ายมือก่อน จะเป็นรูป "ไทเอี๊ยงแชกุง" ต่อด้วย "ไทอิมแชกุง" สององค์นี้ก็คือเทพสุริยา เทพจันทรา

องค์ถัดไปคือ "จี่มุยแชกุง" หรือเทพดาวเหนือ บ้างก็เชื่อว่าเป็นเทพที่เป็นภาคหนึ่งของเง็กเซียนฮ่องเต้ องค์สุดท้ายคือ "แป๊ะกง" หรือพระภูมิเจ้าที่ นี่เอง
อีกฝั่ง เริ่มจากทางซ้ายเหมือนกัน คือ "ตั่วเหล่าเอี๊ย" หรือเจ้าพ่อเสือ ที่หลายคนนับถือไปกราบไหว้ที่ศาลเจ้าพ่อเสือกันอยู่

องค์ที่สอง จำไว้แม่น ๆ หลายคนอาจจะอยากมาไหว้กันเป็นพิเศษ เพราะเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ หรือ "ไฉ่ซิ้งเอี๊ย"
ถ้าไปเห็นที่อื่นอาจไม่เหมือนกับที่นี่ เพราะว่ามีสองภาค คือ ภาคบู๋ กับ ภาคบุ๋น ถ้าเป็นภาคบู๋ จะดุหน่อยขี่เสือมาเลย สำหรับจะช่วยป้องกันทรัพย์สินไม่ให้ถูกปีศาจร้ายที่ไหนมารังควาน จะว่าไปก็เหมาะกับคนรวยแล้วและอยากรวยต่อ ส่วนภาคบุ๋น ก็จะแนวใจดี มีเมตตา คอยหยิบยื่นเงินทองมาให้
องค์ที่สามคือ "ฮั่วท้อเซียงซือ" เป็นเทพยา ที่จริงอยากเรียกว่า เทพแห่งการรักษา ก็น่าจะได้ เพราะเป็นเทพที่มาจากคนที่เคยมีชีวิตอยู่จริง เป็นหมอที่เก่งมาก ๆ จนคนให้ความนับถือมาจนทุกวันนี้ ใครเจ็บไข้ได้ป่วยก็มักมาขอพรให้หายเจ็บหายป่วยกัน
องค์สุดท้าย "ไท่ส่วนเอี๊ย" ถือกันว่าเป็นเทพที่คอยดูแลปกปักรักษาดวงชะตาของมนุษย์ให้รอดพ้นจากภยันตราย อุบัติเหตุต่าง ๆ

องค์สุดท้ายที่วิหารนี้ คือ พระสกันทโพธิสัตว์ ชื่อของท่านแปลได้ว่า ผู้สนองคุณพระศาสนา มีหน้าที่ปราบผู้ที่คิดจะทำลายพระศาสนา

สำหรับใครที่อยากถวายเครื่องบูชาหรือจุดธูปไหว้ วัดมีจัดเตรียมชุดบูชาเอาไว้ให้